Header

ไบโพลาร์ (bipolar disorder) หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว

พญ.ทินารมภ์ ชัยพุทธานุกูล พญ.ทินารมภ์ ชัยพุทธานุกูล

ไบโพลาร์ (bipolar disorder) หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว

ไบโพลาร์ (Bipolar disorder) หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นโรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงอารมณ์ดี หรือคึกคักมากกว่าปกติ หรือ เมเนีย (mania หรือ hypomania) โดยอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลาย ๆ เดือนก็ได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น การทำงาน การเรียน และการดูแลตนเอง ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ
จากการสำรวจในประชากรทั่วไป พบผู้เป็นโรคไบโพลาร์ได้สูงถึง 1.5-5% ของจำนวนประชากร มักพบได้บ่อยในช่วงอายุ 15-19 ปี และรองลงมาคืออายุ 20-24 ปี โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี และยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90%

ไบโพลาร์ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
1. Bipolar I disorder คือ มีอาการเมเนีย สลับกับช่วงซึมเศร้า หรืออาจมีอาการเมเนียเพียงอย่างเดียวก็ได้
2. Bipolar II disorder คือ มีอาการซึมเศร้า สลับกับช่วงไฮโปเมเนีย (hypomania)



สามารถวินิจฉัยโรคไบโพลาร์ได้จากการประเมินโดยจิตแพทย์ จากการซักประวัติทั้งผู้ป่วยและคนญาติ ประกอบกับการตรวจสภาพจิต ประวัติการใช้ยาและสารต่าง ๆ หรือโรคประจำตัว เนื่องจากยาบางชนิดหรือโรคทางร่างกายบางโรคอาจทำให้มีอาการทางจิตเหมือนกับโรคไบโพลาร์ได้

โรคทางกาย และยาที่อาจทำให้เกิดอาการทางจิต

  1. โรคทางระบบประสาท เช่น โรคลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน เนื้องอกสมอง
  2. อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
  3. โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ความผิดปกติของไทรอยด์ฮอร์โมน
  4. โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง
  5. โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
  6. ยาต่าง ๆ เช่น ยาแก้ซึมเศร้า, corticosteroid, methylphenidate, levodopa, amphetamine, cocaine เป็นต้น

ผู้ที่สงสัยว่าตนเอง หรือคนใกล้ตัวอาจจะเป็นไบโพลาร์ ควรพบแพทย์ เพื่อประเมินโดยละเอียด และวินิจฉัยโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย

อาการระยะเมเนีย มักเกิดขึ้นเร็ว และเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนภายใน 2-3 สัปดาห์ อาการจะเต็มที่ อารณ์รุนแรง ก้าวร้าวจนญาติรับไม่ไหวต้องพามาโรงพยาบาล อาการในครั้งแรก ๆ จะเกิดหลังมีเรื่องกดดัน แต่หากเป็นหลาย ๆ ครั้งก็มักเป็นขึ้นเองโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรมากระตุ้น ข้อสังเกต คือ คนที่อยู่ในระยะเมเนียจะไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติ มองว่าช่วงนี้ตัวเองอารณ์ดีหรือใคร ๆ ก็ขยันกันได้ ในขณะที่หากเป็นระยะซึมเศร้า คนที่เป็นจะพอบอกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไปจากเดิม

ระยะซึมเศร้า คนใกล้ชิดมักสังเกตได้ไม่ยาก เพราะเขาจะมองดูอมทุกข์ แต่อาการแบบเมเนียจะบอกยากโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ที่อาการยังไม่มาก เพราะดูเหมือนขยันอารมณ์ดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าสังเกตจริง ๆ ก็จะเห็นว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ตัวตนของเขา เขาจะดู เว่อร์ กว่าปกติไปมาก

1. ปัจจัยทางชีวภาพ ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ความผิดปติของระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย การนอนหลับที่ผิดปกติ ความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
2. ปัจจัยทางจิตสังคม การไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเครียด หรือปัญหาต่าง ๆ ได้ สามารถกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ได้ ทั้งนี้ปัจจัยทางสังคมไม่ใช่สาเหตุของโรค แต่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้โรคแสดงอาการได้
3. ปัจจัยทางพันธุศาสตร์ ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบของการถ่ายทอดผ่านยีนที่ชัดเจนของโรคไบโพลาร์ แต่จากการศึกษาพบว่าสามารถพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นไบโพลาร์มากกว่าคนทั่วไป
โรคนี้จึงไม่ใช่โรคทางกรรมพันธุ์เหมือนโรคทางกรรมพันธุ์อื่น ๆ แต่จะคล้ายกับโรคเบาหวานมากกว่า คือ พ่อกับแม่เป็น ลูกก็เสี่ยงแต่ไม่แน่ว่าจะเป็น บางคนพ่อแม่ไม่เป็นแต่ตัวเองเป็นก็มี

ไบโพลาร์ จะมีช่วงที่อารมณ์ผิดปกติ โดยมีช่วงซึมเศร้า(depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดี หรือคึกคักมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania)

ช่วงอารมณ์ซึมเศร้า (depressive episode) มีอาการดังต่อไปนี้เกือบตลอดเวลา และเป็นติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์

1. มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้) ผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้
2. ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่าง ๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก อะไรที่เคยชอบทำก็จะไม่อยากทำ แรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ก็จะลดลง
3. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหาร หรือเจริญอาหารมาก
4. นอนไม่หลบ อาจมีอาการนอนหลับยาก หรือนอนแล้วตื่นเร็วกว่าปกติ อาจนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น หรืออาจนอนหลับมากไป ต้องการนอนทั้งวัน กลางวันหลับมากขึ้น
5. กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
6. อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากทำอะไร
7. รู้สึกตนเองไร้ค่า บางรายอาจรู้สึกสิ้นหวัง มองสิ่งรอบ ๆ ตัวในแง่มุมลบไปหมด รวมถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วย
8. สมาธิและความจำแย่ลง
9. คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย บ่นไม่รู้จะอยู่ไปทำไม หรือพูดทำนองฝากฝั่ง สั่งเสีย ญาติหรือคนใกล้ชิดอย่ามองข้ามหรือต่อว่าเขาว่าอย่าคิดมาก แต่ควรให้สนใจพยายามพูดคุยกับเขา รับฟังสิ่งที่เขาเล่าให้มาก ๆ ถ้ารู้สึกไม่เข้าใจหรือมองแล้วไม่ค่อยดี ให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็ว

1. อารมณ์เปลี่ยนแปลง จะมีอารมณ์ร่าเริงมีความสุข เบิกบานใจ หรือหงุดหงิดง่ายก็ได้ ซึ่งญาติใกล้ชิดมักจะสังเกตได้ว่าอารมณ์ของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนผิดปกติ และเป็นติดต่อกันทุกวันอย่างน้อย 1 สัปดาห์
2. มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น จะมีความเชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถมากเกินไป เชื่อว่าตนเองสำคัญ และยิ่งใหญ่ เช่น เชื่อว่าตนเองมีอำนาจมาก หรือมีพลังอำนาจพิเศษ เป็นต้น
3. การนอนผิดปกติไป จะมีความต้องการในการนอนลดลง บางรายอาจรู้สึกว่านอนแค่ 3 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เป็นต้น
4. ความคิดแล่นเร็ว (fight of idea) ผู้ป่วยจะคิดค่อนข้างเร็ว บางครั้งคิดหลาย ๆ เรื่องพร้อม ๆ กัน คิดเรื่องหนึ่งไม่ทันจบก็จะคิดเรื่องอื่นทันที บางครั้งอาจแสดงออกมาในรูปของการมีโครงการต่าง ๆ มากมาย พลังมีเหลือเฟือ 
5. พูดเร็วขึ้น เนื่องจากความคิดแล่นเร็วจึงส่งผลให้พูดเร็ว และขัดจังหวะได้ยาก ยิ่งถ้าอาการรุนแรงการพูดจะดัง และเร็วขึ้นอย่างมาก จนบางครั้งยากต่อการเข้าใจ
6. วอกแวกง่าย จะไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน และความสนใจมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้าภายนอกที่เข้ามากระตุ้นได้ง่าย
7. การเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น บางรายจะทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดเวลา ทั้งที่ทำงาน โรงเรียน หรือที่บ้าน มีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นชัดเจน ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้
8. ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ มักจะแสดงพฤติกรรมที่เกิดจากการยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เช่น ดื่มสุรามาก ๆ โทรศัพท์ทางใกลมาก ๆ เล่นการพนัน หรือเสี่ยงโชคอย่างมาก ใช้จ่ายเงินเกินตัว
** สำหรับอาการไฮโปเมเนียนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการเช่นเดียวกับเมเนีย แต่จะแตกต่างคือ ไฮโปเมเนียจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ หรือการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก และผู้ป่วยต้องมีอาการนานอย่างน้อย 4 วัน **

ไบโพลาร์ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ โดยเป็นการรักษาตามอาการ และระดับความรุนแรงของโรค ได้แก่
•    ปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อรับยาร่วมกับการบำบัดทางการแพทย์ พูดคุยกับนักบำบัดเพื่อการเผชิญปัญหาเชิงบวก หรือให้ผู้ป่วยได้เข้าใจถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ด้วยการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ เพื่อให้สามารถจัดการกับโรคได้
•    กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และห้ามหยุดยาเอง
•    การดูแลสภาพจิตใจและการช่วยเหลือจากญาติและคนใกล้ชิดมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้นได้ 
•    วิธีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและสังคม การมุ่งเน้นไปที่การควบคุมวิถีชีวิตประจำวัน เช่น การนอนหลับ การกิน การออกกำลังกาย การปรับสมดุลพื้นฐานในชีวิตประจำวันเพื่อจัดการกับความผิดปกติของตัวเอง
•    หากมีการใช้สารเสพติด ควรงดใช้สารเสพติดทุกชนิด เนื่องจากอาจมีผลต่ออาการและยาที่ใช้รักษา 
•    การเยียวยาโดยธรรมชาติ รวมถึงตัวเลือกอื่น ๆ ในการรักษา เช่น  การบำบัดด้วยไฟฟ้า (ECT) ยานอนหลับ การฝังเข็ม สมุนไพรและอาหารเสริมที่อาจช่วยบรรเทาอารมณ์สองขั้วได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

•    หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การใช้สารเสพติด หรือยาที่ซื้อมารับประทานเองบางประเภท เช่น ยาลดความอ้วน ยาสมุนไพร เป็นต้น 
•    พักผ่อนให้เพียงพอ
•    หากพบว่าตนเองเผชิญกับความเครียด ความกดดันอย่างมากจนรู้สึกว่าไม่สามารถทนกับสถานการณ์เดิมได้ ควรเริ่มจัดการกับปัญหา มองหาตัวช่วย หรือหากปัญหานั้นยังไม่สามารถแก้ไขได้ ควรเน้นทำกิจกรรมที่ช่วยให้ความเครียดลดลงก่อน
•    ผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีอาการไบโพลาร์ หรือมีความเครียดสูงสามารถรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาได้

ที่มา : โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาการุณย์ ,ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ,โรงพยาบาลธรรรมศาสตร์ เพจรวบรวมความรู้ด้านจิตเวชที่มีประโยชน์สำหรับประชาชนทั่วไป ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ,กรมสุขภาพจิต

ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

สุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

สถานที่

อาคาร 4 ชั้น 1

เวลาทำการ

08:00 - 17:00 น.

เบอร์ติดต่อ

055-90-9000 ต่อ 520101, 520102

แพทย์ประจำศูนย์

แผนกสุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

แผนกสุขภาพจิต

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์