Header

คลินิกลดน้ำหนัก และรักษาโรคอ้วน

คลินิกลดน้ำหนัก และรักษาโรคอ้วน

โรคอ้วน นอกจากจะทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะผ่านกล้องแผลเล็ก (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy) คือการลดน้ำหนักด้วยวิธีการส่องกล้อง ซึ่งให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับการผ่าตัดเย็บกระเพาะอาหารแบบเดิมโดยที่ไม่ต้องมีการผ่าตัดเปิดแผลที่หน้าท้อง มีความแม่นยำและมีแผลเล็กกว่า คนไข้จึงฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงจากอาการแทรกซ้อนจากการผ่าตัด

โรคอ้วน นอกจากจะทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจแล้วยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคเบาหวานชนิดที่ 2
โรคข้อเสื่อม โรคไตวาย โรคตับอักเสบจากภาวะไขมันพอกตับ และโรคมะเร็งอีกด้วย การผ่าตัดเย็บกระเพาะอาหารแบบเดิมๆ สามารถช่วยป้องกันโรคอ้วนได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่อาจมีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง และใช้เวลาฟื้นตัวนาน

คำนิยามของโรคอ้วน คือ ภาวะที่มีน้ำหนักตัว หรือสัดส่วนไขมันในร่างกายมากผิดปกติ โดยใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) เป็นตัวกำหนด โดยทั่วไปโรคอ้วนจะถูกกำหนดโดยการคำนวณดัชนีมวลกาย(BMI)  ซึ่งมีภาวะการสะสมสัดส่วนไขมันในร่างกายมากกว่าสมดุลปกติ เกณฑ์ที่กำหนดว่าเริ่มเป็นโรคอ้วน คือ BMI มากกว่าเท่ากับ 25  kg/m²

ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) คือ ตัวชี้วัดมาตรฐานแสดงสภาวะความสมดุลของร่างกาย คำนวณโดยใช้สูตร
“ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร)”
คนปกติ ควรมีค่า BMI อยู่ที่ 18.5 – 22.9 kg/m² หากมากหรือน้อยกว่านี้ จะเกิดภาวะทุพโภชนาการและโรคต่างๆ

  • ค่า BMI 23.0 – 24.9 kg/m² เรียกว่า “น้ำหนักเกิน”
  • ค่า BMI  25.0 -29.90 kg/m²  “อ้วนระดับ 1”
  • ค่า BMI  มากกว่า 30 kg/m²  อ้วนระดับ 2

หากดัชนีมวลกาย (BMI) เกินกว่า 25 kg/m² ถือว่าเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน (Obesity) ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ ของร่างกาย ที่มีปริมาณไขมันสะสมตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ เกินมาตรฐาน จำเป็นต้องมีการลดน้ำหนัก ควบคุมปริมาณ น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เพื่อป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง และโรคแทรกซ้อนตามมา

ปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตมีความเร่งรีบ การเลือกทานอาหารลดน้อยลง ตามสถิติขององค์การอนามัยโลกคนไทยเกือบหนึ่งในสามมีน้ำหนักตัวมากจนเป็นโรคอ้วนแล้ว เป็นอันดับสองของภูมิภาคอาเซียน รองจากมาเลเซีย ส่วนประเทศที่ประชากรเฉลี่ยอ้วนที่สุดในโลกคือ สหรัฐอเมริกา และจีน

นอกจากจะเป็นโรคอ้วนแล้ว ยังส่งผลให้เกิดโรคร่วมต่างๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายตามมาโดยอาจจะไม่รู้ตัวอีกด้วย ได้แก่

  1. โรคเบาหวานชนิดที่2
  2. โรคความดันโลหิตสูง
  3. ภาวะไขมันในเลือดสูง
  4. นอนกรน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea:OSA)
  5. ถุงน้ำรังไข่ ประจำเดือนผิดปกติ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
  6. โรคไขมันพอกตับ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease :NAFLD) /โรคตับคั่งไขมันที่มีภาวะตับอักเสบ (Non-alcoholic steatohepatitis:NASH)
  7. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease)
  8. ปวดข้อ ข้อเสื่อมก่อนวัย โดยเฉพาะข้อรองรับน้ำหนัก เช่น หลัง สะโพก เข่า ข้อเท้า
  9. หอบหืด เหนื่อยง่าย

โรคร่วมเหล่านี้ส่งผลต่อกิจวัตรประจำวันทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย การป้องกันและจัดการกับโรคอ้วน โดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์มีความสมดุลพอดีต่อความต้องการของร่างกาย หากเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือลดน้ำหนักได้มากพอ จะส่งผลให้โรคร่วมหลายชนิดสามารถดีขึ้นจนถึงหายขาดได้ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต

ผู้ที่มีภาวะอ้วน ต้องเผชิญกับการลดน้ำหนัก บางคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมน้ำหนักตัวขึ้นได้จนเป็นปัญหาต่อสุขภาพ การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนที่เป็นโรค ซึ่งคุณสมบัติ ข้อบ่งชี้ในการรักษา มีดังนี้

  1. ผู้รับบริการต้องมี อายุ 18-65 ปี
  2. มีข้อบ่งชี้อย่างน้อยหนึ่งข้อ ดังนี้ดังต่อไปนี้
    • มีดัชนีมวลกาย(BMI) 37.5 kg/m²  ขึ้นไปที่ไม่มีโรค
    • มีดัชนีมวลกาย(BMI) 32.5 kg/m²  ขึ้นไปมีโรคร่วม โดยเป็นผู้ป่วยโรคอ้วนที่เป็นเบาหวานชนิดที่2 หรือ ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) มีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
      • ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ คือมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท
      • ภาวะไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia or Hyperlipidemia)
      • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea :OSA)
      • ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
      • โรคไขมันพอกตับ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease :NAFLD) / โรคตับคั่งไขมันที่มีภาวะตับอักเสบ (Non-alcoholic steatohepatitis :NASH)
      • โรคหัวใจ และหลอดเลือด (Cardiovascular diseases)
      • ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
      • ภาวะหลอดเลือดดำบกพร่องเรื้อรัง (Chronic Venous Insufficiency :CVI)
      • โรคหลอดเลือดสมอง (CVD)
      • น้ำหนักผิดปกติจากผลของฮอร์โมน
      • น้ำหนักผิดปกติที่เกิดจากโรคกล้ามเนื้อและกระดูก
      • ผู้ที่ควบคุมเบาหวานไม่ได้ และมีค่าดัชนีมวลกาย 30.0 kg/m²  ขึ้นไป โดยทั้งสองกรณี ผู้รับบริการได้พยายามควบคุมอย่างเต็มที่แล้วโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรมต่อมไร้ท่อและโภชนาการ แต่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย 
    • ผู้ควบคุมเบาหวานไม่ได้ และมีค่าดัชนีมวลกาย ระหว่าง 27.5 - 30.00 kg/m²  ขึ้นไป ที่ต้องดูแลโดยแพทย์อย่างเคร่งครัด 

สิ่งสำคัญหลังจากการผ่าตัดลดกระเพาะอาหารเรียบร้อยแล้ว หลังจากการผ่าตัดต้องมีการปรับพฤติกรรม และการควบคุมปริมาณอาหารทานให้เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย โดยการแนะนำจากทีมแพทย์เฉพาะทาง เพื่อส่งผลให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพ และฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

โดยทั่วไปแล้วโรคอ้วนมักขึ้นอยู่กับวิถีการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ทั้งด้านพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ส่งผลต่อระบบเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งหลักๆ แล้วโรคอ้วนสามารถรักษาได้ดังนี้

1.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Weight management:Lift style and Behavior modification,Medical treatment) เป็นการจัดการน้ำหนักโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งเทคนิคกระบวนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และด้านโภชณาการที่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก  ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่งเสริมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย


2.การรักษาโดยยา (Medical Treatment)

  • Liraglutide: ปากกาลดน้ำหนัก หรือ ยาฉีดลิรากลูไทด์ เป็นยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐเพื่อใช้ในการลดหรือควบคุมน้ำหนัก โดยตัวยาจะช่วยลดความอยากอาหาร มักใช้ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลิรากลูไทด์เป็นสารเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์เหมือนกลูคากอนชนิดที่ 1 ที่ทําหน้าที่เป็นยากระตุ้นตัวรับเปปไทด์ที่เหมือนกลูคากอนชนิดที่ 1 ซึ่งพบได้ในระบบทางเดินอาหารของคนเรา สารดังกล่าวช่วยลดน้ำตาลในเลือดและลดการบีบตัวขับเคลื่อนของกระเพาะอาหาร ทำให้ผู้ที่ได้รับยาชนิดนี้รู้สึกอิ่มเป็นระยะเวลานานขึ้น
  • Duraglutide:เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ร่วมกับการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองในสหรัฐอเมริกาในการลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

3.วิธีการผ่าตัด Bariatric Surgery เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก ก่อนที่จะพิจารณาการผ่าผัดลดขนาดกระเพาะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษาและอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทาง เพื่อลดความเสี่ยงและพิจารณาเลือกการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะตัวบุคคล
กระเพาะลดน้ำหนักแบบส่องกล้องมี 3 วิธี 

  • ผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) เป็นการผ่าตัดที่ทำมากที่สุด ความซับซ้อนน้อยว่าวิธีอื่น  โดยการใช้อุปกรณ์ตัดเย็บแบบพิเศษ ทำการตัดแต่งกระเพาะให้เรียวตรงให้เหลือประมาณ 15-20% ส่งผลให้ลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ผู้ป่วยจะหิวลดลงอย่างชัดเจน ร่วมกับทานได้น้อยลง  จึงทำให้สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 60-70% ภายใน 1 ปีหลังผ่าตัด โอกาสเกิดภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินต่างๆ มีน้อยกว่าผ่าตัดแบบอื่นๆ 
  • ผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y gastric bypass) เป็นการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนขึ้น โดยการผ่าตัดกระเพาะให้เป็นกระเปาะ ประมาณ 25-30 ซีซี  ร่วมกับการผ่าตัดบายพาสลำไส้เล็ก หลังผ่าตัดจะสามารถช่วยเพิ่มระดับการทำงานของ ฮอร์โมนความอิ่ม ลดความหิว ทานได้น้อยลง และลดการดูดซึมอาหารลง สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 70-80% ซึ่งเหมาะกับคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานรุนแรง วิธีนี้สามารถช่วยเรื่องเบาหวานได้ดีกว่าวิธีแรก และผลลัพธ์ดีในผู้ป่วยอ้วนที่มีภาวะโรคกรดไหลย้อน แต่โอกาสเกิดภาวะ ขาดวิตามิน แร่ธาตุ มีมากกว่า โดยเฉพาะวิตามิน B12 ซึ่งจำเป็นต้องรับวิตามินเสริมต่อเนื่องทุก 6-12 เดือน
  • ผ่าตัดแบบสลีฟพลัส (Sleeve gastrectomy Plus) เป็นวิธีการผ่าตัดที่พัฒนามาจาก การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) และการผ่าตัดแบบบายพาสลำไส้เล็กให้ระยะดูดซึมสารอาหารสั้นลง ซึ่งผลลัพธ์สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 70-80% และผลลัพธ์การช่วยในโรคเบาหวาน ดีเทียบเท่าแบบบายพาส โดยวิธีสลีฟพลัสนี้ จะแบ่งเป็นวิธีย่อย ๆ ที่แตกต่างกันได้อีกหลายวิธีตามความเหมาะสมของคนไข้ 

สำหรับการผ่าตัดกระเพาะอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับทุกคน ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาอย่างละเอียด เพื่อเทียบประโยชน์ที่จะได้รับ กับความเสี่ยงของการผ่าตัดรวมถึงตรวจร่างกาย เพื่อดูความพร้อมของสภาพร่างกายในแต่ละบุคคล สามารถประเมินเบื้องต้นจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) คือ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) >32.5 kg/m² ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น และค่าดัชนีมวลกาย (BMI) >37.5 kg/m² เหล่านี้ เข้าเกณฑ์ที่แนะนำว่าสามารถผ่าตัดได้ กรณีอื่น ๆ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เช่นกัน

ภาวะแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้นได้ตามอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ในผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ป่วยที่น้ำหนักมาก, โรคประจำตัวมาก หรือเคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน ก็จะมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดมากขึ้น
ภาวะการขาดวิตามิน เกลือแร่ เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะทำให้ผู้ป่วยทานอาหารน้อยลง  ส่งผลให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อยลงด้วย ฉะนั้นผู้ป่วยต้องได้รับวิตามิน แร่ธาตุบางชนิดทดแทนต่อเนื่อง แต่ในภาพรวม จากน้ำหนักที่ลดลง การดีขึ้นของโรคแทรกซ้อนจากความอ้วน การทานวิตามินทดแทนนั้น อาจคุ้มค่ากว่าการที่ต้องทานยารักษาโรคต่าง ๆ หรือฉีดยา เช่น ยาความดัน ยาเบาหวาน ยาไขมัน ไปตลอดชีวิต

    ความเสี่ยงจากการผ่าตัดอาจเกิดขึ้นได้เหมือนการผ่าตัดทั่วไป เช่น การติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคประจำตัว แต่ด้วยการผ่าตัดด้วยทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้องแผลเล็ก มีความแม่นยำสูง จึงทำให้ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพส่งผลให้การรักษาเป็นไปได้ด้วยดี

นำทีมโดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง ศัลยแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องและโรคอ้วน และทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์ ร่วมกับเทคโนยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และห้องผ่าตัดที่มีมาตรฐานปลอดเชื้อเหมาะกับการผ่าตัดใหญ่ที่มีความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้รับบริการ ทำให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้รับบริการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

การสองกล้องเย็บกระเพาะอาหารช่วยให้คนไข้ลดน้ำหนักตัวได้ประมาณ 15% ของน้ำหนักตัวเดิมภายในเวลา 1-2 ปี และผลการลดน้ำหนักนี้จะคงอยู่ได้นานอย่างน้อยถึง 5 ปี ซึ่งดีกว่าวิธีการรักษาด้วยการใส่บอลลูนไปในกระเพาะอาหาร (Intra-gastric balloon) ซึ่งให้ผลเพียงระยะสั้นๆ หากคนไข้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการ น้ำหนักที่ลดลงนี้ นอกจากช่วยให้คนไข้มั่นใจในขนาดรอบเอวที่เล็กลง ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้างเคียงที่มาพร้อมกับความอ้วนช่วยลดระดับน้ำตาลสะสม (A1C) และระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ช่วยปรับความดันโลหิต รวมถึงการทำงานของตับให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดเย็บกระเพาะอาจไม่ช่วยลดไขมันในเลือด (LDL) คนไข้จึงควรควบคุมอาหารตามหลักโภชนาการและออกกำลังกายร่วมด้วย


สัมภาษณ์ นพ.นรนนท์ บุญยืน ศัลยแพทย์ผ่าตัดผ่านกล้องและโรคอ้วน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม